พระเครื่อง มณเฑียร
 ร้าน  ณัฎฐนันท์
 
 พระเครื่อง  มณเฑียร หน้าพระมณเฑียร      พระเครื่อง  มณเฑียร หน้าร้าน    พระเครื่อง  มณเฑียร การรับประกัน / การชําระเงิน     พระเครื่อง  มณเฑียร รายละเอียดของร้าน

สิงห์งาแกะ หลวงพ่อหอม วัดชากหมาก จ.ระยอง เลี่ยมเงินพร้อมบูชาครับ



พระเครื่อง สิงห์งาแกะ หลวงพ่อหอม วัดชากหมาก จ.ระยอง เลี่ยมเงินพร้อมบูชาครับ

พระเครื่อง สิงห์งาแกะ หลวงพ่อหอม วัดชากหมาก จ.ระยอง เลี่ยมเงินพร้อมบูชาครับ



รหัสพระเครื่อง   MT1031549
ชื่อพระเครื่อง   สิงห์งาแกะ หลวงพ่อหอม วัดชากหมาก จ.ระยอง เลี่ยมเงินพร้อมบูชาครับ
ราคา      ขายแล้ว 
รายละเอียด    สิงห์งาแกะ หลวงพ่อหอม วัดชากหมาก จ.ระยอง

หลวงพ่อหอม (พระครูภาวนานุโยค) หลวงพ่อหอม (พระครูภาวนานุโยค) แห่งวัดชากหมาก หมู่ 2 ต.สำนักท้อน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ห่างจากตัวอำเภอบ้านฉางเข้าไปทางสี่แยกระยะทาง ประมาณ 9 กม. วัดชากหมาก (ป่าเรไร ) เป็นวัดเล็ก ๆ เงียบสงบ ในอดีตเคยเป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังในทางคุณวิเศษอันลือลั่น หลวงพ่อหอมซึ่งเป็น เจ้าอาวาสในสมัยที่มีชีวิต มักจะถูกอาราธนาไปร่วมในการประกอบพิธีพุทธาภิเษกที่สำคัญ ทั้งราชพิธีและพิธีสามัญ สม่ำเสมอทั่วประเทศไทย ผู้นิยม วัตถุมงคลน้อยคนที่จะไม่ได้ยินกิตติศัพท์ความเป็นผู้ทรงพุทธเวทย์ของท่าน จากวัตถุมงคลที่ได้ปลุกเศกไม่ว่าจะเป็นสิงห์งาช้าง ขี้ผึ้ง นางกวัก งาช้าง ไชมงคล พระกริ่งรูปเหมือน แหนบรูป เหมือน เหรียญรูปเหมือน แหวนทอง

เมื่อปี 2500 รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี มีการจัดให้มีงานฉลอง 25 ปี พุทธศตวรรษขึ้นนับเป็นพิธีใหญ่ที่สุดในพุทธอาณาจักร โดยมีการจัดทำพระเครื่อง พระบูชา และวัตถุมงคล ไว้เป็นที่ระลึกจำนวนมากหลวงพ่อหอมเป็น 1 ในจำนวน 108 รูปของพระเวทยาจารย์ผู้ทรง คุณวิเศษที่รัฐบาลอาราธนาไปร่วมพุทธาภิเษกในมลฑลพิธี ณ ท้องสนามหลวง กรุงเทพฯ แม้เมื่อประกอบ พิธีเสร็จก็ยังมีผู้คนหลั่งไหลไปขอพรไม่ขาดสาย จนศิษย์ต้อง ออกมาขอร้องให้หลวงพ่อ พักผ่อนบ้างแต่หลวงพ่อกลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตาว่า ช่างเขาเถอะลูก และเป็นคำพูดที่ถูกใช้ติดปาก เรื่อยมาจนหลวงพ่อหมดสิ้นอายุขัย

การก่อสร้างวัดชากหมากเมื่อประมาณพ.ศ.2471 ชากหมากซึ่งมีสภาพเป็นป่าดงดิบเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เสือ ช้าง หมูป่า หลวงพ่อได้พบเรือนไม้ หลังคุ้มไม้ไผ่ 2 หลัง สอบถามชาวบ้าน ได้ความว่า เป็น สำนักสงฆ์ ซึ่งพระอาจารย์ล้ำเคยอยู่มาก่อน แต่ปล่อยร้างมา 10 ปี หลวงพ่อหอมจึงตกลงใจ ฟื้นฟูสำนักสงฆ์นี้ให้เป็นวัดขึ้นมาและได้ออกป่าไปจำพรรษาที่ถ้ำเขานั่งหย่อง แล้วก็ได้ปรากฎสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น สิ่งมหัศจรรย์ที่ปรากฎมีช้าง เสือ และสัตว์ร้ายมาวนเวียนอยู่ใกล้หลวงพ่อตลอดเวลา แต่สัตว์ร้ายก็ไม่เข้ามาทำร้ายหลวงพ่อนานวันจนเกิดความคุ้นเคย สัตว์เหล่านั้นก็เชื่องและสามารถรับรู้คำพูด หลวงพ่อ ได้ เมื่อหลวงพ่อนำชาวบ้านมาช่วยกันตัดต้นไม้ในป่านั้นมาทำวัดได้แล้วก็เกิดปัญหา ไม่สามารถ ชักลากไม้ลงมาได้ระยะทางก็ไกลกันถึง 7 กม. ชาวบ้านจึงลงจากเขามาปรึกษาหาทาง นำไม้ที่ตัดไว้ลงมาแต่หลวงพ่อกลับขึ้นไปบ้นเขาเพื่อสำรวจหา ช่องทางอีกครั้ง หลังจากนั้นชาวบ้านก็ต้องประหลาดใจเพราะพบท่อนไม้ที่ตัดไว้นั้น ลงมากองอยู่ที่เชิงเขาอย่างครบถ้วน และยังเห็น รอยเท้าช้างป่า ขนาดใหญ่อยู่รอบบริเวณนั้นมากมายคาดว่าน่ำจะเป็นช้างทีคุ้นเคยกับหลวงพ่อมาช่วยกันชักลากลงมา เมื่อชาวบ้านรู้เข้าจึงทำให้เกิดความเลื่อมใส ศรัทธาหลวงพ่อ นับเป็นต้นมา หลังสร้างวัดเสร็จไม่นานก็มีชาวบ้านใกล้ ๆ มาแจ้งหลวงพ่อว่ามีช้างป่าลงมากินพืชผักที่ปลูกไว้จนเสียหาย ตนจะยิงช้างก็เกรงใจหลวงพ่อ จึงขอให้หลวงพ่อ ช่วยแก้ไขหลวงพ่อ ก็รับปากว่า จะช่วยพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปยืนบริกรรมสักครู่ที่หน้าวัด แล้วร้อยตะโกนขึ้นว่า ลูกหลาน พญาฉัททันต์อย่าไปเหยียบย่ำของเขาเลยเจ้าของเขาจะยิงเอา ของเรามีอยู่แล้วในแปลงขวามือไปกินได้ ซึ่งภายหลังก็ปรากฎว่าไม่มีช้าง เข้าไปรบกวนชาวบ้านอีกเลย แต่ปรากฎว่าพืชผักที่อยู่บริเวณวัดกลับไม่มีเหลืออยู่เลย เมื่อประมาณ พ.ศ.2481 หลวงพ่อบวชได้ 12 พรรษาแล้ว มีนายพรานช้างมาขอพักที่วัดและบอกหลวงพ่อว่า จะมาล่าช้างในป่าแถบนี้แต่เวลาใกล้ค่ำ จึงขอพักเอาแรงที่วัดก่อนหลวงพ่อ ก็อนุญาต และ ไปยืนบริกรรมที่หน้าวัดสักครู่ เมื่อนายพรานออกป่าเพื่อล่าช้างก็ปรากฎว่าไม่พบช้างแเยแม้แต่ตัวเดียว ต่อมาหลวงพ่อกับภิกษุอีก 4 รูป ได้ธุดงค์ไปเพื่อหากระเพรา 7 อ้อม เมื่อเดินไปถึง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณี ก็พบศาลายกพื้นสูงมากหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ในป่าทึบมีข้อความเขียนไว้ว่า ใครผ่านทางนี้ เมื่อมืดแล้วให้ขึ้นข้างบนเพราะมีสัตว์ชุกชุมมาก แต่หลวงพ่อกลับบอกพระที่ไปด้วยกันว่าเรา ปักกลดอยู่ข้างล่างนี้แหละ และทั้งหมดก็ปักกลดลงข้างล่างนั้นเอง เมื่อปักกลดแล้ว หลวงพ่อก็เสกทรายซัด ล้อมกลดไว้โดยรอบพร้อมสั่งพระที่ไปด้วยกัน ทั้งหมดว่าอย่าได้ออกนอกกลดเป็นอันขาดไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ชวนกันนั้งสมาธิเจริญภาวนาแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ ในคืนนั้นเองก็มีสัตว์ร้าย หลายชนิดมาวนเวียนรอบ ๆ กลดแต่ไม่มีตัวใดเข้ามาทำร้ายหลวงพ่อและพระภิกษุอีก 4 รูปเลย จนรุ่งสางหลวงพ่อหอมจึงเดินทางต่อเมื่อเดินทางต่อไป หลวงพ่อเล่าว่าหนทางเป็นป่าเขา โดยตลอด เดินทาง 3 วัน ก็ไม่พบบ้านคนเลยต้องอดข้าวกันทั้ง 3 วัน จนกระทั้งวันที่ 4 จึงได้สวนทางกับชายคนหนึ่ง หาบขนบจีนผ่านมาแล้วเอาขนมจีนนั้นถวายทุกองค์ได้ฉันจนอิ่ม หลวงพ่อ ได้ถามชายคนนั้นว่า ต่อจากที่นี่ไปอีกไกลมากไหมจึงจะถึงบ้านคน ชายผู้นั้นตอบว่า พอพลบค่ำก็จะเห็นแสงไฟบ้านคน แล้วเดินหายไปในป่านั้น หลวงพ่อจึงชวนพระที่ไปด้วยออกเดินทางต่อ ซึ่งตลอดทาง ที่เดินผ่าน นั้นไม่พบบ้านคนจริงตามที่ผู้นั้นบอกไว้ จึงชวนพระ ที่ไปด้วยกันทั้งหมดปัก กลดพักที่บริเวณใกล้ ๆ กับหมู่บ้านนั้น แล้วก็เดินทางกลับ วัดชากหมากโดยไม่พบกระเพรา 7 อ้อม มาตามต้องการ ส่วนเรื่องที่พบคนนำขนมจีนมาถวายกลางป่าทั้ง ๆ ที่บริเวณใกล้ ๆไม่ม่บ้านคนเลยก็คง เป็นปริศนาให้ต้องแปลกใจอยู่ตลอด สมัย อู่ตะเภามีฐานทัพอเมริกันตั้งอยู่ได้มีทหารนักบินคนหนึ่งมีเมียเช่าเป็นคน ไทยภาคอีสานได้พากันไปหาหลวงพ่อที่วัดแล้วเช่ากริ่งรูปเหมือนของ หลวงพ่อไปไว้ติดตัวเป็นประจำ ต่อมาได้ถูกสั่ง ให้ขับเครื่องบินไปนครพนมแต่เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกระหว่างทางเครื่อง บินลำนั้นได้รับความ เสียหายจนใช้การไม่ได้ ทหารที่โดยสารไปด้วยกันก็เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสกันทุกคน แต่นักบิน ผู้นั้นไม่ได้รับบาดเจ็บแลยแม้แต่น้อย จึงบังเกิดความเลื่อมใสหลวงพ่อเป็นอย่างมาก เมื่อมีโอกาสจะมาหาหลวงพ่อที่วัดเป็นประจำเมื่อวันหลวงพ่อมีงานก็จะมาช่วย งานอย่างแข็งขันทุกครั้งไป เมื่อถูกส่งกลับไปอเมริกาแล้วก็ยังส่งเงินมาถวายหลวงพ่ออยู่เนือง ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าวัยรุ่นย่านบางรัก กรุงเทพมหานคร ยกพวกต่อยตีกันเป็นมวยหมู่มีการบาดเจ็บกันเป็นระนาวแต่ก็มีอยู่หลายคน ที่ไม่เป็นอะไรเลยทั้ง ๆ ที่ได้เข้าไปประจัญบาน กับเขาด้วย ซึ่งภายหลังปรากฎว่าพวกที่ไม่ได้รับบาดเจ็บนั้นล้วนแต่มี สิงห์งาช้าง ของหลวงพ่อติดตัวกันอยู่ทั้งนั้น สอบถามได้ความว่าเคยร่วมคณะกฐินจากกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้ไปที่วัด ชากหมากแล้วเช่า สิงห์งาช้าง ของหลวงพ่อไปติดตัว ไว้คนละตัว ซึ่งครั้งแรก ก็ยังไม่ได้คิดว่าศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้จนได้ประสบเหตุเข้ากับตัวเอง จึงเชื่อและพาพรรคพวก เพื่อนฝูงเดินทาง ไปขอ เช่าที่วัดกันอีกแต่หลวงพ่อก็เตือนว่า ถ้ารังแกข่มเหงเขาสิงห์ของพ่อไม่ช่วยนะ ตามธรรดาทุกๆ ปี ที่วัดชากหมากจะต้องมีงานประจำปี และอยู่ปีหนึ่งหลวงพ่อได้สร้างกริ่งรูปเหมือนองค์ หลวงพ่อขึ้นเป็นรุ่นแรก ได้มีทหารจำนวนหนึ่ง ไปเที่ยวงาน และได้เช่าพระกริ่งนี้ คนละองค์ แล้วชวนกันไปหลังโรงเรียนวัดชากหมากซึ่งอยู่ใกล้วัดนั้นเอง เพื่อจะทดลองความศักดิ์สิทธิ์ดูให้แน่ใจ จึงได้นำเอาพระกริ่งของหลวงพ่อมาวางรวมกัน แล้วยิงด้วยปืน .38 ก็ปรากฏว่ายิงกี่ครั้ง ๆ ก็ไม่ออกแต่เมื่อเบนปากกระบอกปืนไปทางอื่นกลับยิงออกทุกนัด ทหารเรือ กลุ่มนั้นจึงกลับเข้ามาในวัด และขอเช่าเพิ่มกันอีกจนเงินหมดกระเป๋า เมื่อกลับไปแล้วยังได้ไป บอกกล่าวให้บรรดาเพื่อนฝูง พากันมาเช่ากันไปไว้ประจำตัวอีกมากมาย และตั้งแต่นั้นมาเมื่อหลวงพ่อมีงานอะไรขึ้น บรรดาทหารเรือจากฐานทัพเรือสัตหีบ จะมาช่วยกันอย่างมากมายทุกครั้ง เมื่อนายสงั่น ไตร่ตรอง ได้รับเลือกตั้งเป็นกำนันตำบลสำนักท้อนใหม่ๆ เคยขับรถยนต์ไปธุระที่สมุทรปราการ พร้อมกันลูกบ้านอีก 8 คน แต่พอรถไปถึงโค้งบางปิ้ง ซึ่งได้ถือว่าเป็นโค้งผีสิง จะด้วยเหต ุอันใดก็ไม่อาจทราบได้ รถเกิดเสียหลักพลิกคว่ำไปหลายตลบเผอิญมีตำรวจอยู่ใกล้ๆ กับบริเวณนั้นเห็นเหตุการณ์เข้า คิดว่าต้องมีคนในรถได้รับบาดเจ็บ หรืออาจถึงตายแน่ๆ จึงรีบวิ่งเข้าไป เพื่อช่วยเหลือ นำส่งโรงพยาบาล แต่เมื่อเข้าไปถึงก็ต้องประหลาดใจอย่างมาก เพราะปรากฏว่าไม่มีผู้ใดที่อยู่ในรถคันนั้นได้รับบาดเจ็บกันเลย เมื่อมีการสอบถามกันขึ้นด้วยความสงสัย จึงทราบว่าทุกคน ที่ไป กัน ในรถคันนั้นต่างก็มี สิงห์งาช้าง ของหลวงพ่อหอมติดตัวกันทั้งนั้น การประสบอุบัติเหตุเนื่องจาการใช้รถใช้ถนนแล้วไม่ได้รับอันตรายแก่ร่างกายนี้ นายเก๋ง เชื้อชาติ ซึ่งเป็นคน อยู่ใกล้กับวัดชากหมากคนหนึ่งก็ได้เคยประสบมาแล้ว โดยครั้งนั้นนายเก๋งได้ขับรถ ไปธุระนอกบ้าน แต่พอรถไปถึงหน้าบริษัทไทวา จำกัด สาขาที่ 5 รถที่นายเก๋งขับไปเกิดเสียหลักพุ่งชนต้นมะขามหน้าบริษัท จนรถพังไม่มีชิ้นดี แต่นายเก๋ง กับคนโดยสารอีก 5 คน ไม่มีใคร ได้รับบาดเจ็บกันเลยแม้แต่น้อย โดยทุกคนยืนยันว่าในวันนั้นต่างก็มีของดีของหลวงพ่อหอมติดตัวไปด้วยทั้งนั้น คือบางคนก็มีเหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อ บางคนก็มีสิงห์งาช้างของ หลวงพ่อ บางคนก็แหวนของ หลวงพ่อ บางคนก็มีแหนบของหลวงพ่อ บางคนก็มีสมเด็จงาช้างของหลวงพ่อ และบางคนก็มีผ้ายันต์ของหลวงพ่อ วิทยาเวทย์ที่เป็นคุณวิเศษของหลวงพ่อหอมวัดชากหมากอีกประการหนึ่งที่ยังไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อน คือ การต่อชะตาดิน ซึ่งคุณวิเศษนี้ก็เป็นที่เลื่องลือในความศักดิ์สิทธิ์ของท่านอย่างมากทีเดียว คือหากที่ดินของผู้ใดที่ เคยอยู่อาศัย หรือใช้ประกอบกิจการใดๆ มาก่อนเกิดอาการเสื่อมทรามลง หลวงพ่อก็จะไปทำพิธี ฝังหิน ให้แล้วกิจการบนที่ดินแห่งนั้น ก็จะกลับคืนเป็นคุณแก่เจ้าของดังเดิม อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ซึ่งวิชาต่อชะตาดินนี้ได้เคยมีบรรดาศิษย์อยากจะขอเรียนจากหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อก็บอกว่าผู้ที่จะเรียนได้จะต้องเป็นภิกษุเท่านั้น และเมื่อเรียนแล้วก็จะต้อง ตั้งนโมปนิธาณ ด้วยว่า จะบวชจนตายในผ้ากาสาวพัตร์ คือจะสึกออกไปครองเพศฆราวาสไม่ได้อย่างเด็ดขาด ถ้าผิดไปจากนี้แล้วจะต้องถูก ฟ้าผ่า ทันทีจึงไม่มีใครกล้าพอที่จะเรียนต่อจากท่าน เพราะการบวช เป็นพระภิกษุในพระพุทธ ศาสนานี้ไม่ใช่เป็นของง่ายนักที่ประกาศตนว่าจะไม่สึกไว้ล่วงหน้า นอกจากหลวงพ่อหอมวัดชากหมากจะเป็นผู้มีวิทยาคุณในทางเครื่องลางของขลังแล้ว ท่านยังเป็นเชี่ยวชาญในทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิดอีกด้วย ทั้งนี้เพราะท่านได้เคย ศึกษาเล่าเรียน มาจาก ทางบิดาของท่านซึ่งเป็นแพทย์ ประจำตำบลในสมัยเมื่อท่านยังเป็นฆราวาสอยู่นั้นตามธรรดาทุกๆวัน จะมีคนป่วยด้วยโรคต่างๆ มาหาท่านที่วัดเพื่อขอให้ท่านขจัดปัดเป่า โรคร้ายเหล่านั้น ให้หาย วันหนึ่งๆ ถึง 40-50 คน หลวงพ่อจึงเป็นภิกษุผู้ได้รับความเคารพนับถือ อย่างสูง ทั้งที่เป็นคนไทย จีน แขก ซิกส์ และฝรั่ง ดังจะเห็นได้จากเมื่อหลวงพ่อมรณภาพได้มีผู้หลั่งไหลกันไป เคารพศพของท่านอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะวันถวายน้ำสรงศพของท่าน เจ้าหน้าที่ได้จัดให้เรียงแถวกันเข้าไปต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง จึงหมดคนที่ไปถวายน้ำสรงท่าน หลวงพ่อหอม จนทโชโต หรือพระครูภาวนานุโยค อดีตเจ้าอาวาสวัดชากหมาก หมู่ที่ 2 ตำบลสำนักท้อน อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เดิมชื่อ หอม ทองสัมฤทธิ์ เกิดวันจันทร์ เดือน 10 ปีขาล พุทธศักราช 2433 เป็นบุตร ของนายสัมฤทธิ์ กับนางพุ่ม ทองสัมฤทธิ์ เป็นชาวบ้านสำนักท้อน อำเภอบ้านฉาง จังหวักรอยง มีพี่น้องร่วมบิดา มารดาเดียวกัน 3 คน หลวงพ่อเป็นคนสุดท้าย พี่ๆ สองคนเป็นหญิงคนโตชื่อนางวอน คนรองชื่อนางเชื่อม เมื่อเยาว์วัยอาศัยอยู่กับบิดามารดาที่บ้านเกิดของท่านเอง ส่วนในด้านการศึกษาเบื้องต้นนั้น เป็นที่น่าเสียดายที่ ไม่มีผู้ใดทราบว่าท่านได้ศึกษากับใครที่ไหน เพราะในสมัยนั้น โรงเรียนในชนบท ห่างไกลจากความเจริญ เช่นบ้านเกิดของ หลวงพ่อคงจะไม่มีตั้งขึ้นแน่นอนโรงเรียนที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น โรงเรียนวัดสมบูรณาราม โรงเรียนวัดชากหมาก โรงเรียนวัดสุวรรณรังสรรค์ ล้วนแต่พึ่ง ตั้งขึ้นมาไม่ถึง 50 ปีทั้งนัน ถ้าในสมัยหลวงพ่อหอม 8-15 ปี มีโรงเรียนอยู่ที่บ้านเกิด ของท่านแล้วโรงเรียนนั้นก็จะต้องมีอายุมาถึงปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 75 ปี จึงสันนิษฐานว่าหลวงพ่อ น่าจะเริ่ม ศึกษาเมื่อตอน ได้อุปสมบทแล้วมากกว่า การดำรงชีพของหลวงพ่อในสมัยนั้น ก็เป็นการช่วยบิดามารดาทำสวนทำไร่และเก็บของออกไปขายในตัว ตลาด ซึ่งการเดินทางไป ตลาดบ้านฉาง หรือตลาดสัตหีบ ในสมัยนั้นก็ลำบากมาก เพราะยังไม่มีถนนอย่างเช่นปัจจุบัน ต้องอาศัยทางเกวียน ที่ผ่านป่าดงดิบแวดล้อม ไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด ถ้าเป็นฤดูฝนด้วยแล้วก็ยิ่งเพิ่มความลำบากเป็นทวีคูณ และคงจะเป็นเพราะว่า หลวงพ่อเคยมีชีวิตจำเจอยู่ในป่าดงดิบนี่เอง จึงทำให้ท่านพยายามพัฒนาป่า ให้กลับกลายเป็น หมู่บ้านที่มีความเจริญขึ้นในทุกๆ ด้าน โดยท่านเห็นว่าหากมีถนนตัดจากเจริญเข้าสู่หมู่บ้านได้เมื่อใด ความเจริญนั้นก็ต้องขยายตัวของ มันเองตามถนนไปด้วยอย่างแน่นอน จึงได้ร่วมกับนายหยอย สุวรรณศักดิ์ กำนันตำบลสำนักท้อน สมัยนั้นชักนำชาวบ้านช่วยกันตัดถนนจากบ้านฉาง เข้าไปจนถึงบ้านชากหมากระยะทาง 12 กิโลเมตร ถนนสายนี้ในปัจจุบันได้กลาย เป็นถนนสายเอนก ประสงค์แล้วอย่างสมบูรณ์ เมื่อหลวงพ่อ อายุได้ 21 ปี ก็มีโอกาสทำหน้าที่ของลูกชายไทยอย่างเต็มภาคภูมิ ด้วยการได้รับคัดเลือกเข้ารับราชการทหารในกองทัพเรือ ในสมัยที่ฐานทัพเรือยังตั้งอยู่ที่ ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัด ชลบุรี แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าสังกัดอยู่หน่วยไหน และใครบ้างที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของท่าน ทราบแต่เพียงว่าในขณะที่ท่านรับราชการ ทหารอยู่นั้น ไม่เคยถูกลงโทษฐานกระทำผิดวินัยเลย ทั้งไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับบรรดาเพื่อนๆ ด้วย ตรงกับข้ามกับเป็นที่รักใคร่ของเพื่อฝูงทุกคน เพราะปกติท่านเป็นคนที่มีนิสัยเยือกเย็น สุขุม และโอบอ้อมอารีต่อทุกคนอยู่แล้ว เมื่อท่านรับราชการทหารครบ 2 ปี ทางราชการก็ปลดประจำการจึงกลับไปช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพที่ บ้านสำนักท้อนตามเดิม และในช่วงนี้เองก็ได้แต่งงานกับนางเจียม ซึ่งเป็นหญิงสาว ในหมู่บ้านเดียวกันนั้น และมีบุตรด้วย กัน 3 คน คือ นายพิณ , นายหรั่ง และนายหรั่น ทองสัมฤทธิ์ การครองชีวิตแบบคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนของหลวงพ่อ ได้เป็นไปอย่างธรรดาเรื่อยๆ มา โดยพร้อมกันนั้นก็ได้พยายามถ่ายทอดวิชารักษาโรคต่างๆ จากบิดาไปด้วยจนมี ความรู้ความสามารถไม่ด้อยไปจากบิดาของท่านแต่อย่างใด แล้วก็ได้วิชาความรู้นี้ช่วยเหลือเพื่อนบ้านตลอดมา หลวงพ่อหอมวัดชากหมาก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาเมื่อปีศักราช 2469 อายุ 36 ปี พัทธสีมาวัดทับมา ตำบลทับมา อำเภอเมือง จังหวัดระยอง โดยมีหลวงพ่อขาววัดทับมา เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อจิ๊ด วัดเขาตาแขกเป็นพระกรรมวาจารย์และหลวงพ่อชื่น (ปัจจุบันเป็นพระครูพิพิธวรญาณ และยังมีชีวิตอยู่วัดมาบข่า เป็นอนุสาวนาจารย์) เมื่อ หลวงพ่อหอมอุปสมบทใหม่ ๆ ยังเป็นพระภิกษุผู้น้อยด้วยคุณวุฒิไม่อาจที่จะปกครองตนเองและผู้อื่นได้จึง ยังจำพรรษาศึกษาพระธรรมวินัยเบื้องต้นในฐานะอันเตวาสิกของหลวงพ่อชื่นอยู่ ที่วัดมาบข่า แต่เพียงชั่วระยะ 2 พรรษา เท่านั้น หลวงพ่อหอมก็เป็นผู้แตกฉานในพระธรรมวินัยอย่างอัศจรรย์ เนื่องจากเป็นผู้มีความเพียรในการศึกษาเป็นเลิศ ยากที่จะหา พระภิกษุรูปใดในรุ่นเดียวกันเสมอ และหลวงพ่อชื่นเองก็ยังเคยปรารภให้พระภิกษุรูปอื่นๆ ฟังว่า อีกหน่อยคุณหอมเขาจะหอมทวนลมนะ และต่อมาหลวงพ่อหอมก็ไก้กลายเป็นหลวงพ่อผู้มีชื่อเสียงหอมทวนลมจริงดังคำ ของหลวงพ่อชื่นนั้น เมื่อหลวงพ่อหอมได้รับอนุญาตจากหลวงพ่อชื่น ซึ่งเป็นพระอาจารย์เบื้องต้นให้ไปอยู่ทีวัดชากหมากใกล้ ๆ บ้านเกิดของท่านได้พยายามศึกษาพุทธเวทย์เพิ่มเดิมอย่างจริงจัง จนเป็นที่ประจักษ์แก่ บรรดาศิษยานุศิษย์ถ้วนหน้า และนอกจากจะได้ราษฎรช่วยเหลือกันพึ่งทางใจแก่ผู้เลื่อมใสแล้ว ยังได้สร้างอาคารเรียน หอมราษฎร์วิทยา ถึง สองหลังซึ่งเป็นเงิน ที่หลวงพ่อได้รับ จากราษฎรช่วยเหลือกัน จำนวน 1,980,000 บาท รัฐบาลช่วยสมทบ 200,000 บาท เพื่อสร้างอาคารเรียนให้เด็กๆ ได้เล่าเรียนสร้างอุโบสถศาลาการเปรียญ หอระฆังคอนกรีต หอไตรกลางสระน้ำ กุฏิตึก 2 ชั้น ซุ้มประตูคอนกรีตหน้าวัด กำแพงรอบวัด หอสวดมนต์ และสังหาริมทรัพย์อื่นๆ อีกมากจนเกือบวาระสุดท้าย ยังได้สร้างกุฏิครึ่งตึกครึ่งไม้เพิ่มอีก 1 หลัง แต่ไม่ทันเสร็จก็ถึงแก่มรณภาพ ด้วยคุณงามความดีที่ปรากฎนี้เอง หลวงพ่อจึงได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี พระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ที่พระครูภาวนานุโยคในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2507 เป็นเกียรติประวัติอย่างยิ่งแก่หลวงพ่อ และศิษยานุศิษย์ในโอกาสนี้เองหลวงพ่อจึงได้สร้าง กริ่งรูปเหมือน (ชนิดสั้น) รูปปั้นเหมือนองค์จริงแบบบูชาขึ้นเป็นรุ่นแรก เหรียญรูปเหมือนรุ่น 2 แบบนูนครึ่งองค์ ด้านหลังเหมือนรุ่นแรกพร้อมแหวนทองแดงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2498 อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จากกรรมานุภาพด้าน คุณวิเศษ เป็นที่เล่าขานจากปากต่อปากคนแล้วคนเล่า ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ทุกฐานะเมื่อผู้ใดมาหาอย่างมีทุกข์ร้อน ท่านก็ช่วยปัดเป่าทุกข์ด้วยเมตตา ถ้วนหน้ากันไม่มีเลือกชนชั้น ผู้เรียบเรียงมิกล้าจะยืนยันว่าหลวงพ่อบรรลุธรรมภาวะเสมอเหมือนท่าน นอกจากศรัทธาในความเป็นผู้เหนือธรรมดาในตัวท่านแต่คิดด้วยปัญญาว่า หลวงพ่อเป็นผู้ที่ศึกษาสัจธรรม และนำพุทธเวทย ์มาปฏิบัติได้ถูกต้องเป็นแน่ วัตถุมงคลที่ท่านปลุกเศกจึงบังเกิดความ ขลัง จึงขอฝากท่านผู้รู้จริงทั้งหลายโปรดวินิจฉัยต่อไป ผู้เรียบเรียงมิกล้าจะยืนยันว่าหลวงพ่อบรรลุธรรมภาวะเสมอเหมือท่าน นอกจากศรัทธาในความเป็นผู้เหนือ ธรรมดาในตัวท่านแต่คิดด้วยปัญญาว่า หลวงพ่อเป็นผู้ที่ศึกษาสัจธรรมและนำพุทธเวทย์ มาปฏิบัติได้ถูกต้องเป็นแน่ วัตถุมงคลที่ท่านปลุกเศกจึงบังเกิดความ ขลัง จึงขอฝากท่านผู้รู้จริงทั้งหลายโปรดวินิจฉัยต่อไป หลวงพ่อหอม จนทโชโต หรือพระครูภาวนานุโยค อาพาธด้วยโรคชราและมรณภาพด้วยอาการสงบเมื่อเวลาประมาณ 05.00 น. ของวันที่ 13 เมษายน 2520 ที่โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี รวมอายุ 87 ปี 51 พรรษา ได้รับพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2521 ที่วัดชากหมากที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสนั่นเอง

*** สิงห์สภาพสวย ล่ำ แกะศิลป์ตรงตามตำรา ผมแกะออกจากพลาสติกเก่านำมาเลี่ยมเงินกันน้ำอย่างดี ขนาดกำลังสวย พร้อมแขวนได้เลยครับครับ ***
เข้าชมร้าน     ณัฎฐนันท์
โทรศัพท์     086-5529773 ,
ผู้เข้าชม   4012
*** สิงห์งาแกะ หลวงพ่อหอม วัดชากหมาก จ.ระยอง เลี่ยมเงินพร้อมบูชา สวยมาก พระเครื่อง มณเฑียร  ***



  พระเครื่อง มณเฑียร   สงวนลิขสิทธิ์ เนื้อหาทั้งหมดตั้งแต่ปี 2011 ชมรมพระเครื่อง มณเฑียร   พระเครื่อง มณเฑียร  
 
พระเครื่อง มณเฑียร เว็บไซด์ : พระมณเฑียร : WWW.PRAMONTIEN.COM   พระเครื่อง มณเฑียร
 
ห้ามคลิกขวา